ปีนยอดเขาเอลฟ์ ไปตามล่าหาปราสาทดิสนีย์

สวัสดีค่ะ เฟสบุ๊คตอนนี้ ชอบเอาแบบ วันนี้เมื่อปีก่อนๆ มารวบรวมให้ดู ทำให้อั๋นรู้ว่า เมื่อหกปีที่แล้ว อั๋นกำลังเริงร่า อยู่ที่เยอรมันสมัยเปิดซิงบินเดี่ยวครั้งแรก วันก่อนกลับ เป็นทริปที่สุดยอดมาก สูงที่สุด เหนื่อยที่สุด หนาวที่สุด เมาที่สุด (จริงๆก็ไม่หรอก แต่มันก็ฮาดี) นั้นคือ ทริปไปปีนยอดเขาเอลฟ์ และไปเที่ยวปราสาท Neuschwanstein  ค่ะ ไปตามรอยปราสาทดิสนีย์ ทริปนี้เป็นทริปสุดท้ายก่อนอั๋นจะต้องกลับไทย เพราะอยู่เยอรมันครบกำหนดฝึกงานแล้ว ตอนนั้นไม่อยากกลับแล้ว กำลังสนุก เพื่อนอย่างเยอะ

เริ่มต้นตอนเช้า(มาก) เราไปขึ้นรถไฟไปที่ปราสาทค่ะ พอไปถึงก็เตรียมตัวเดินกันเลย

DSC04329

เห็นลิบๆนั้นแหล่ะ เป้าหมายพรุ่งนี้

DSC04327.JPG

เพื่อนๆผู้ชายของเยอะกันสุดๆ เรากระเป๋าใบนิดเดียว แต่ว่าเป็นผู้หญิงอ่อนแอไง ตอนนั้นยังไม่เป็นป้าฟิตเนส เป็นแค่เด็กไทยตัวดำๆตัวเล็กๆ (ตอนนั้นยังไม่ตัวใหญ่ขนาดนี้) เดินขึ้นเขาที่เค้าว่าสูงสุดๆ ก็เหนื่อยเป็นธรรมดา ก็แวะพักตามทาง พยายามทำตัวไม่เหนื่อยนะ กระเป๋าก็หิ้วตามสภาพตัวเองจะรับได้

47719_469043148627_753963627_6735170_3938624_n

พอไปถึงห้องพักค่ะ ไม่มีที่อาบน้ำ น้ำก็เย้นนนนนเย็น แต่ว่า อิชั้นก็ไม่อาบหรอกนะ ล้างหน้าแปรงฟัน นอนได้เลย คืนนั้นเรามีปาร์ตี้กัน

ปาร์ตี้ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ เล่นไพ่ เปิดเหล้าอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย แต่มีเกมในวงเหล้า คืออั๋นก็รายละเอียดเกมได้ไม่มาก แต่เกมประมาณว่า ให้เราตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนทาย เสร็จแล้วก็ให้เค้าไปรอข้างนอกแล้ว คนที่เหลือก็ตัดสินใจกันว่า เลือกมาหนึ่งคนเพื่อให้คนทายทายให้ได้ว่า คนในกลุ่มเลือกใครสำหรับตานั้น แล้วคนที่ทายจะถามว่า คนนี้ลักษณะเป็นแบบนี้มั้ย ถ้าใช่ คนในกลุ่มก็จะสลับที่นั่งกันถ้าไม่ใช่ก็ทายใหม่ จนกว่าจะทายถูก ประมาณนี้มั้ง แต่จำได้เลยว่า คนเยอรมันคนนึงเก่งมากๆ หลังจากดึกได้ที่ เราก็ไปยอดเขากัน เมากันสุดๆ เห็นรูปแล้วตลกดี

40726_1593457847182_1558015533_31397594_246061_n

หมดคืนแรกไป แยกย้ายกันไปนอนค่ะ เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้อง แทรกกิ้งกันต่อ คือวันแรก เดินขึ้นเขา อีกวันก็ต้อง เดินลงเขาค่ะ

dsc04336

นี่วิวตอนเช้าก่อนออกเดินทาง และเป้าหมายของเราในวันนี้ก็คือ ปราสาท Neuschwanstein ค่ะ

ทางเดินลงเขา อย่านึกว่าจะสบายนะคะ จริงๆความชันขนาดนั้น การเดินลงเขายากกว่าเห็นๆ จริงๆพอจะจำได้ว่า มีเพื่อนคนกาน่า เค้าใส่รองเท้าแบบไม่ใช่รองเท้าผ้าใบอ่ะ แต่ก็ยังเดินได้สบายเลย นี้ใส่ผ้าใบนะ แต่รู้สึกนิ้วโป้งที่เท้าแทบจะไม่ไหว แต่ถึงจะเดินยาก มันก็ไม่ได้เหนื่อยเหมือนเดินขึ้นเขานะ ระหว่างทางก็มีน้ำตกให้ดู แต่ลงไม่ได้ค่ะ หนาว แต่ฝรั่งก็ลงไปเดินกันหน้าตาเฉย แล้วก็ ที่นี่มีให้วางหินแบบหาดหินงามที่หลีเป๊ะด้วยนะ คนเอามาเรียงกันเต็มเลย

DSC04395.JPG

ใกล้ถึงรึยางงงง

40726_1593457807181_1558015533_31397593_1382113_n.jpg

ถ้าเราใกล้จะถึงแล้ว เราจะสามารถเห็นปราสาทได้จากสะพาน Marienbrucke ค่ะ

dsc04362

ซึ่งบนสะพานนี้ก็จะเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายรูปปราสาทนั้นเอง

DSC04378.JPG

เท่ป่ะหล่ะ

dsc04382

จากนั้น จากสะพานเราก็เดินต่อไปที่ปราสาท ซึ่งข้างในเค้าไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ แต่จริงๆแล้วแอบคิดว่า ที่ไม่ให้ถ่าย คือ กลัวเค้ารู้ว่าข้างในไม่มีอะไรรึเปล่า ฮะๆๆ

DSC04330.JPG

แล้วก็จบทริปตามล่าหาปราสาทดิสนีย์แต่เพียงเท่านี้ จริงๆน่าจะเรียกทริปแทรกกิ้งส่งท้ายก่อนกลับไทยมากกว่า ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมาก ทริปสนุกจริงๆ จำเหตุการณ์ได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่จำความรู้สึกมีความสุขได้ เมาโวยวาย จนต้องมานั่งกันในตู้เก็บจักรยาน

59089_469042668627_753963627_6735155_3796088_n.jpg

จริงๆบล๊อคนี้ เขียนดราฟไว้นานแล้ว ผ่านมาหลายปี ว่างๆ (จริงๆก็ไม่ว่าง) เลยมาเขียนต่อให้เสร็จ
รูปทั้งหมด ที่พอจะกู้ได้: https://goo.gl/photos/Fgz7hYLXQsA6yip36

สุดท้าย: จริงๆที่จำไม่ค่อยได้ ไม่รู้เพราะว่าดื่มส่งท้ายเยอะไปแล้วเมา หรือรถไฟมันโคลงจนเมาก็ไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ รูปนี้ใช่มาก

DSC04431.JPG

ประสบการณ์เปิดซิงที่ Berlin (Berlin part 3)

มาแล้วงัฟ ประสบการณ์เปิดซิง ไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวสถานที่ประวัติศาสตร์แล้ว เป็นประสบการณ์เล่าให้ฟังเฉยๆ ตั้งแต่อั๋นดูหนังเรื่อง Berlin calling รู้สึกว่าเสียงรถไฟฟ้าของที่นี่เป็นเอกลักษณ์มาก เพราะมีเพลงชื่อ train ซึ่งเอาเสียงของรถไฟฟ้ามาเป็นเสียงหลักของเพลงเลย

งั้นเล่าเริ่มจากรถไฟฟ้าเลยละกัน คือคนเยอรมันเค้าแบบซื่อสัตย์มาก ไม่มีการแอบขึ้นรถไฟฟรีนะคะ โดยปกติรถไฟฟ้าเค้าจะไม่มีใครมาตรวจบัตรซักเท่าไหร่ เค้าบอกว่า คนขึ้นรถฟรี มีน้อยเกินไปที่จะจ้างคนมาคอยตรวจ เลยไม่คุ้มเท่าไหร่เพราะค่าแรงเค้าแพง เนื่องจากเรามีตั๋วกรุ๊ปกัน เพราะมีกันหลายคน ก็จะได้ราคาที่ถูกลง แต่ต้องไปด้วยกัน คราวนี้พอมีคนเยอะ ก็มีการลืม ขึ้นรถไฟไม่พร้อมกันอีก เราขึ้นรถไฟกันไปส่วนนึง แต่คนถือตั๋วดันไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกัน ทุกคนเลยลงรถกันหมดที่สถานีถัดไป แล้วรอคนถือตั๋วตามมาแล้วไปพร้อมกัน ส่วนสาเหตุน่ะหรอ…

ขอบอกก่อนเลยว่าก่อนหน้าที่จะมาเยอรมัน อั๋นแทบไม่แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย (ตอนนี้หน่ะหรอ…ก็ไม่ได้กินนะ) คือพอเราออกจากหอตอนเย็นเพื่อที่จะไปเที่ยวกัน ทุกคนก็ถือเบียร์กันคนละขวดเลย (แล้วบอกว่ากฏหมายห้ามกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะนะ) เราก็พูดกันเรื่องการกินเบียร์ใส่น้ำตาลจะเมาเร็ว การเคาะก้นขวดเบียร์จะทำให้ขวดเบียร์พ่นฟองออกมา อืม…. น่าสน มีคนลองทำค่ะ ฟองเบียร์หกกระจายสถานีรถไฟเลยค่ะ ไม่แปลกใจเลย (-_-a) ด้วยความที่เริ่มกรึ่มๆกันแล้ว เลยมีสมาชิกขาดๆหายๆบ้างประมาณนี้แหล่ะ

สถานที่ๆเราไปคืนนั้นคือผับค่ะ ผับค่ะพี่น้อง เกิดมาไม่เคยเล้ยยย เที่ยวผับเนี้ย เปิดซิงครั้งแรกก็อายุ 22 เข้าไปแล้ว แอบตื่นเต้น นี้ครั้งแรกอั๋นก็มาเยอรมันเลย เท่ป่ะหล่ะ แต่ด้วยความที่เป็นผับที่ดังและใหญ่มาก จะเข้าไปก็ต้องมีต่อคิวกันบ้าง ตอนนั้นอั๋นต่อคิวกะคริสเตียน เพื่อนคนเยอรมัน เพื่อนของคริสเตียนที่เป็นคนเอสโตเนียเป็นผู้หญิงเราจำชื่อไม่ได้ แล้วก็จอร์แกนคนนอร์เวย์ คริสเตียนบอกจอร์แกนว่า จะเข้าผับเราจะจับคู่ดูแลกันนะ ให้ผู้ชายดูแลผู้หญิง จอร์แกนจะดูแลใคร ตอนนั้นมีผู้หญิงสองคน เค้าก็บอกว่า อีกคนมากับคริสเตียนแล้ว เราดูแลแอน ให้ละกัน (เพื่อนฝรั่งเรียกเราว่า แอน) เราก็แอบกรี๊ด เค้าเลือกชั้น แล้วก็กอดเค้าหนึ่งที (โห… หญิงไทย) แก เค้าเป็นฝรั่งสูงหน้าตาดีอ่ะ ฟังเพลงแนวเดียวกับเราเลย คือบอกชื่อวงที่เราชอบ เค้าบอกเค้าฟังแทบทั้งนั้นเลย (จริงๆเราก็ฟังวงที่ไม่ได้แปลกอะไรมากมายนะ) แต่คริสเตียนก็หน้าตาดีนะแก แลดูเข้าใจเด็กเอเชียด้วย เพราะเค้าเคยไปเรียนที่จีนมา เพื่อนเรานางกรี๊ดคริสเตียนมากขนาดแค่มองเค้าก็หน้าแดงหูแดงเลย (ไม่ได้พาดพิงใคร อิอิ) แต่ตอนนั้นเราปลื้มคนนอร์เวย์มากกว่า ดูเค้าพยายามคุยกะเรา แถมฟังเพลงแนวเดียวกันอีก เพราะตอนเข้าผับก็พยายามเดินตามเราไปห้องอื่นๆตลอด แล้วบอกว่า เค้าชอบเพลงแนวนี้เลยมาด้วย ไรงี้

เราจำชื่อผับไม่ได้จริงๆนะ แต่จำได้ลางๆว่าเป็นอาคารคล้ายๆโกดัง อยู่ไม่ไกลจากกำแพงแบร์ลินเท่าไหร่ เสียค่าเข้าด้วย แต่ถ้ามีบัตรนักเรียนก็จะลดราคาได้ (เฮ้ย นักเรียนเนี้ยนะ) ข้างในจะมีห้องอยู่สามสี่ห้องมั้ง ซึ่งพวกเยอรมันเค้าจะพุ่งไปที่ห้องเพลงเทคโนก่อน เราก็จัดเต้นเพลงเทคโนก่อนเลย ห้องกลางจะเป็นเพลงป๊อบ ส่วนห้องถัดข้างในก็จะเป็นเพลงร็อค อีกห้องเหมือนจะเป็น outdoor เปิดเพลงอะไรไม่รู้ (หรือไม่มีก็ไม่รู้ จำไม่ได้) เราเต้นเพลงเทคโนได้ซักพัก เริ่มอยากไปดูที่อื่นบ้าง และห้องเพลงร็อคมันเจ๋งมาก คือไม่ใช่เพลงร็อคทั้งหมดนะ มันมีเพลงอินดี้เปิดด้วย เพลลงเปิดมา อิชั้นร้องได้แทบทุกเพลงหมด

จำได้ว่าเต้นกับเพื่อนอยู่ห้องนั้นซักพักเลย รู้สึกได้ว่ามีผู้ชายมองเหมือนกัน แล้วเราก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ กลับมา ก็ไปหาเพื่อน…ไม่เจอ หืมมม พอเรารู้สึกไม่ปลอดภัย เลยจะกลับไปรวมตัวกะเพื่อนคนอื่น ซักพักมีคนเยอรมันคนสองคนนี้แหล่ะ กันเราที่ประตูเลยอ่ะ แถมซัดภาษาเยอรมันใส่อีก ตอนนั้นแบบทั้ง งง ทั้ง กลัว อะไรวะ มึง ใครเนี้ย คาดว่าคริสเตียนคงเห็นสัญญาณว่าเราแอบกลัวอยู่เลยเดินมาหาเราแล้วบอกว่า เราจะกลับแล้วนะ แล้วพาเราออกไป กรี๊ด พระเอกโพด >.,< ประสบการณ์โดนผู้ชายจีบในผับครั้งแรก

อยู่ในผับ จะมีบางคนที่ใช้ภาษาใบ้ได้ อั๋นก็เคยเรียนมาบ้าง ตอนที่อยู่อเมริกา มีผู้ชายสอนเอาไว้ใช้พูดกันสองคน -//////- ค่ะ จะเข้าห้องน้ำ จะไปซื้อเบียร์ อะไรแบบนี้ ใช้ภาษาใบ้ตลอด จริงๆก็ไม่ได้มีนัยอะไรหรอก คือคนผู้หญิงคนเอสโตเนีย เค้าไม่ชอบให้คนมาเอาหน้ามาใกล้เค้า เค้าเลยขอใช้ภาษาใบ้แทนตอนคุยกันในผับ อั๋นว่าก็โอเคนะ เราพอรู้อยู่บ้าง แค่นี้ก็พอรู้เรื่องอยู่

วันนั้นเรากลับกัน หกโมงเช้าค่ะ สุดยอดผับเยอรมัน ตอนแรกนึกว่าซักตีสองปิดเหมือนบ้านเรา (เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ ตอนนั้นแบบไม่เคยเที่ยวผับจริงๆ) พอตีสาม ตีสี่ ตีห้า แม่งยังไม่เลิกเต้นกันอีก พอหกโมง เปิดไฟตำรวจมาเลยครับ พวกเราก็กลับหอไปพักผ่อน สุดยอด เต้นกัน ห้าหกชั่วโมงเลย จำได้ว่าช่วงตีสี่ตีห้าเราเหนื่อยอ่ะ นั่งเฉยๆเลย บอก เออเต้นๆกันไปเหอะ เราอยากพัก ฮะๆๆ ประสบการณ์ผับครั้งแรกนี้มัน เยอรมันจริงๆครับ แหม่…

62125_1593458967210_657305_n

อีกหนึ่งประสบการณ์การเปิดซิงคือ อยู่ประสบการณ์ Top less ค่ะ เข้าใจว่าในห้องนั้นมีแต่ผู้หญิงไง ทุกคนแม่งถอดเสื้อถอดผ้าผ่อนกันหมด ดีที่ยังมีกุงเกงในกันอยู่ เรานี้ แกล้งหลับเลยหง่ะ มันไม่คุ้น นี้ออกห้องน้ำมา เราปกติเข้าห้องน้ำก็แต่งตัวในห้องน้ำเลย อันนี้ทุกคนมา Top less กันหมด เรา Culture shock มาก ตกใจ ไม่เคยเห็นของจริง อายของตัวเองอ่ะ เล็กนิดเดียว T__T

สรุป ไปแบร์ลินรอบนี้ มันมาก เหนื่อยมาก ชอบจริงๆ แต่มันไกลจากอาเค่นไปหน่อย เลยไม่ได้ไปอีกรอบ (แต่ไป เนินแบร์กสามรอบนี้คืออะไร!!!) ประสบการณ์เปิดซิงอั๋นก็หลายๆอย่างก็เพิ่งเคยทำที่เยอรมันเหมือนกัน ถือว่าเป็นการเปิดประตูสู่โลกกว้างเนอะ ^__^

รูปสุดท้าย ให้ทายว่าแปลว่าอะไร อยู่แถวๆสถานีรถไฟที่โฮสเทลที่อั๋นพัก ไปละ เจอกันทริปหน้าจ้า

33523_1522995725725_1775983_n

หนังพาไปที่ Berlin (Berlin part 2)

ด้วยการที่อั๋นไปเยอรมันเป็นครั้งแรก บอกเลยว่าตื่นเต้นกับการเรียนภาษาเยอรมันมาก แถมฟิตจัดเอาหนังเยอรมันมาดูอีก ก็ฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ตอนนั้นเรื่อง Downfall (der Untergang) กำลังดัง หนังท่านผู้นำที่เค้าชอบเอามาทำซับนรกนั้นแหล่ะ ไม่ได้น่ากลัวนะ แต่ดูแล้วเครียดมาก ท่านผู้นำกำลังจะแพ้ หนังก็ถ่ายทอดอารมณ์การใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายของท่านผู้นำได้ดีทีเดียว

ด้วยความที่ HDD อั๋นเสีย ทำให้รูปของอั๋นมีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ที่เหลืออยู่จะเป็นของเพื่อนบ้าง ไม่ก็อันที่อับลง Google plus เอาไว้ เลยมีรูปน้อยไปหน่อยนะคะ

ที่ยุโรป ณ เมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ เค้าจะมี Free walking tour แทบทั้งนั้น โดยส่วนมากจะเป็น ทัวร์ฟรีๆเลย แต่ต้องลงทะเบียนก่อน พอเสร็จจากทัวร์แล้ว ก็จะให้ทิปคนนำทัวร์ตามความพอใจของเค้าเลย ซิตี้ทัวร์ก็มีหลายภาษา ทั้งอังกฤษ สเปน เยอรมัน รูมเมตอั๋นเป็นคนสเปนก็บอกว่า ขอฟังภาษาสเปนแทนได้รึเปล่า ภาษาอังกฤษเค้าไม่แข็งแรง (ฮะๆๆ) ซิตี้ทัวร์ก็จะไปรวมตัวกันที่แถวๆ ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor) ที่อยู่ใน Pariser Platz ซึ่ง ต่างชาติเยอะม้ากกก เยอะจนแบบ เพื่อนคนเยอรมันบอกว่า เค้าเป็น local people นะ ใครอยากถ่ายรูปกับคนเยอรมันบอกได้เลย อั๋นอาจจะไม่ได้เรียงตามเส้นทางที่เดินใน City tour นะ แต่เรียงตามที่เค้าเขียนในเวปว่า เค้าพาไปดูอะไรบ้าง โดย City tour จะแค่พาเดินผ่าน ไม่ได้เข้าไปข้างในนะ ซึ่งอั๋นกับเพื่อนๆก็จะเข้าไปข้างในในวันถัดไปอีกที

Brandenburger Tor

ประตูบรานเดนบวร์ก เป็นอดีตประตูเมืองและเป็นสัญลักษณของกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพของประเทศเยอรมนี ข้างบนจะมีรูปปั้นราชินีแห่งชัยชนะ (Siegesgoettin Viktoria) ควบขับรถเทียมม้า 4 ตัว ซึ่งอั๋นเข้าใจว่า เค้าคงไปเอามาจากไหนซักที่แน่ๆ เพราะไปฝรั่งเศส หรือ อิตาลี ก็มีแบบนี้กันหมด แถมที่กรุงโรมก็ใหญ่กว่าเยอะเลย เค้าบอกอันนี้เหลืออยู่ประตูเดียวจากทางเข้าทั้งหมดหลายประตู เพราะโดนระเบิดลงสมัยสงครามโลก

Siegesgoettin Viktoria

The Reichstag เค้าบอกว่าเป็น รัฐสภา ที่ทำงานของรัฐบาลเยอรมัน ข้างบนจะเป็นโดมแก้ว Reichstag dome ปีนขึ้นไปได้ ซึ่งโดมจะอยู่ข้างบนที่ทำงานของรัฐบาลอีกที เค้าบอกว่า ให้ประชาชนเข้าไปได้ เพราะเราทำงานให้ประชาชน ประชาชนจะได้รู้สึกว่า เค้าสามารถมองเห็นคนทำงานจากข้างบนได้ (แนวคิดเจ๋งป่าว)

ข้างในโดม

จากด้านนอก เสียดายที่ไม่มีรูปเต็มๆทั้งอาคาร

จากด้านนอก เสียดายที่ไม่มีรูปเต็มๆทั้งอาคาร

The memorial to the Murdered Jews of Europe ด้วยความสัตย์จริงเลย ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Jews คืออะไร ทำไมมี musium แบบนี้ด้วย พอเข้าไปข้างในถึงเข้าใจ คือเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับระลึกถึงชาวยิวที่ถูกทหารเยอรมันทรมาณในยุโรป ข้างในจะมีทั้ง Time line ตั้งแต่เริ่มมีการจัดระเบียบยิว ไปจนถึงเยอรมันแพ้สงครามเลย และมีรูปภาพ จดหมาย สิ่งของเครื่องใช้ ประวัติต่างๆ แผนที่ชาวยิวที่ถูกทำร้าย เป็นทริปที่หดหู่มาก ขนาดมีแต่ภาษาเยอรมัน เรายังรู้สึกได้ถึงความเลวร้ายของสงครามเลย ข้างบนของพิพิธภัณฑ์ จะเป็นอนุสรณ์สถาน ที่เป็นบล็อคสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆกัน ตอนแรกเราคิดว่ามันเป็น art ซึ่งหาความหมายไม่ได้ จริงๆแล้วความหมายของเค้าคือ บล็อคต่างๆ สามารถหมายถึงป้ายสำหรับเป็นหลุมศพ ก็ได้ และถ้ามองจากด้านนอก บล็อคจะอยู่ในระดับที่ไม่ค่อยต่างกันมาก แต่จริงๆแล้วบล็อคมีขนาดต่างๆกันถ้าวัดจากฐานของแต่ละกัน ที่ความสูงต่ำไม่เท่ากันเพื่อสื่อว่า เมื่อเราอยู่ในบล็อคที่มีความสูงมากๆ เราจะไม่สามารถมองเห็นบล็อคทั้งหมดได้ หมายความว่าถ้าเราทำตัวใหญ่เกินไป เราจะมองไม่เห็นอะไรรอบๆเลย (ถ้าอั๋นจำไม่ผิด จากที่เพื่อนคนเยอรมันเล่ามานะ) เป็นความหมายที่ลึกซึ้งมากๆ

DSC03732

แผนที่การแผ่ขยายของทหารเพื่อล้างยิว

The site of Hitler’s Former Bunker เป็นหลุมหลบภัยของท่านผู้นำ ตามแบบในหนังเลย เค้าบอกว่า ถ้าใครได้ดูเรื่อง Downfall เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะอยู่ในสถานที่แห่งนี้เลย ด้วยความที่ดูมาแล้ว เลยพอจะนึกออกว่าข้างในเป็นยังไง ในหนังก็จะเป็นช่วงที่เยอรมันกำลังจะแพ้สงคราม นายทหารผู้ใหญ่บางคนต้องฆ่าตัวตายในบังเกอร์นี้ รวมถึงท่านผู้นำ ที่พอยิงภรรยาแล้ว ก็ยิงตัวเองตาม แล้วรีบเอาศพไปเผาทันทีเพื่อไม่ให้ทหารรัสเซียจับไป

Luftwaffe HQ รู้สึกว่าจะเป็นอาคารทำการ air force สมัยยุคนาซีนะ ในหนังก็จะเป็นตรงที่เค้าทำความเคารพท่านผู้นำกัน อาคารใหญ่มากๆ ข้างๆอาคารจะมีรูปวาดเขียนประมาณว่า ทำงานเพื่อรัฐ รัฐจะนำความสุขมาให้ เพราะรูปภาพจะเป็นรูปประชาชนมีความสุขในเมือง อะไรประมาณเนี้ย เพราะอั๋นแปลได้แค่คำว่า Arbeit ที่แปลว่าการทำงาน

เดินถัดไปอีกหน่อย ก็จะเจอกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งเราก็เดินเล่นกันไปตั้งแต่วันแรกแล้ว พูดถึงกำแพงแบร์ลิน อั๋นนึกถึงหนังเรื่อง Goodbye Lenin พูดถึงสมัยที่เยอรมันเพิ่งรวมประเทศ (ซึ่งถ้าพูดถึง “ประเทศ” เยอรมันแล้ว เค้าบอกว่ายังรวมกันได้ไม่ถึงสามสิบปีเลย) ในหนังก็จะเห็นถึงความแตกต่างและวิถีชีวิตระหว่างเยอรมันตะวันออกและตะวันตกได้ดีทีเดียว สมัยนั้นบางคนก็ยังรับไม่ได้นะที่ความเปลี่ยนแปลงเพิ่งเข้ามา ซึ่งความด้านตะวันออกจะคล้ายๆกับที่เห็นในภาพนี้เลย

Checkpoint Charlie เข้าใจว่าเป็นจุดที่ทหารอเมริกันเค้าอยู่กันนะ เพื่อนบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือชาลี แต่สมัยนั้น ชื่อชาลี คือคอมม่อนมากๆของคนอเมริกัน ซึ่งตอนนี้ถึงจะไม่มีสงครามแล้ว แต่ก็ยังมีทหารมายืนอยู่จริงๆอยู่เลย คาดว่าสำหรับนักท่องเที่ยวคือมาให้ถ่ายรูป แต่อั๋นก็ไม่รู้วัตถุประสงค์จริงๆเหมือนกัน ตรงจุดนี้ เป็นจุดที่อยู่ระหว่างกำแพงที่ตอนนั้นอเมริกาจะดูฝั่งตะวันออก และ รัสเซีย จะดูอยู่ฝั่งตะวันตก ตรงเช็คพ้อยต์ชาลี ก็จะเป็นจุดเช็คพ้อยต์ของทหารอเมริกัน และจะมีรูปทหารอเมริกันอยู่ ซึ่งว่ากันว่าเค้าคือ ชาลี นี้เอง

หลังจากเช็คพ้อยต์ชาลี อั๋นก็เริ่มฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว เหนื่อยฮะๆ แต่ก็ยังมีรูปถ่ายอยู่บ้าง ซึ่งสิ่งก่อสร้างพวกนี้จะเป็นพวกสิ่งก่อสร้างยุคเก่าๆ ที่อยู่ในละแวกจตุรัส Bebelplatz ซึ่งก็จะมีตลาด โบสถ์ โอเปร่าเฮาส์ สิ่งปลูกสร้างโบราณสมัยเก่า ที่ไม่ได้โดนระเบิด (หรือโดนแล้ว แล้วเค้าบูรณะแล้ว) อยู่

รูปปั้น Neue Wache เข้าใจว่าเป็นรูปผู้หญิงอุ้มลูกนะ จำไม่ค่อยได้

รูปปั้น Neue Wache เข้าใจว่าเป็นรูปบอกถึงเกี่ยวกับความเลวร้ายของสงครามนะ

และเดินไปจนถึงที่สุดท้ายก็คือแถวๆ Museum Island ซึ่งเป็นที่สุดท้ายของ City tour

ตรง Museum Island จะมีพิพิธภัณฑ์อยู่รวมๆกันอยู่ห้าที่ อั๋นได้เข้าไปที่เดียว ใหญ่มากๆ เค้าบอกว่า ไปเอามาจากที่อื่น จากสมัยยุคสงคราม แบบ กำแพงบ้านเมืองเค้ายังอุตสาห์ยกมาแบร์ลินได้ สุดยอดจริงๆ หรือแม้แต่รูปปั้นจากกรีก หรืออิตาลี ซึ่งใหญ่มากๆๆๆ ก็ยังแทบจะเหมือนกับเอาวิหารมาไว้ในนี้เลย ไม่มีรูปใน museum นะ พอดีไม่ค่อยชอบถ่ายรูปแนวนั้นซักเท่าไหร่ ฮะๆๆๆ

แบร์ลินโดมในตำนาน

แบร์ลินโดมในตำนาน

Altes Museum

Altes Museum

โถ พ่อคุณ เพลียจัด

โถ พ่อคุณ เพลียจัด

หอคอยมนุษย์ ฮ่ะๆๆๆ

หอคอยมนุษย์ ฮ่ะๆๆๆ

คือทุกคนถอดรองเท้ากันหมด เจ๊อรีน่า เลยจัดการขโมยมาผูกกันให้หมดเลย

คือทุกคนถอดรองเท้ากันหมด เจ๊อรีน่า เลยจัดการขโมยมาผูกกันให้หมดเลย

ชอบรูปนี้อ่ะ แบบ 3 sterio type เลย

คือ น่ารักมากอ่ะ อั๋นนี้แบบ…ขี้เหร่สุดๆเลย

ตรงกลาง Island ก็จะเป็นสนามหญ้า หญ้านุ่มน่านอนมาก เพื่อนคนไทยคนนึงบอกว่า เคยไปเที่ยวผับจนเมาแล้วมานอนกลิ้งแถวๆนี้อยู่ อั๋นก็ไปนอนกลิ้งมาแล้วนะ แต่ไม่ได้เมานะคะ อิอิ

เนื่องจากแบร์ลินเป็นเมืองใหญ่ นอกจากแหล่งท่องเที่ยวโบราณหรือซากปรักหักพังจากสมัยสงครามแล้ว ยังมีส่วนที่เป็นเมืองธุรกิจด้วย ตึกนี้ทันสมัยสุดๆ คือถ้าเรามาจากบ้านนอกอย่าง Aachen พอเห็นตึกพวกนี้นึกว่าอยู่คนละประเทศกันเลยทีเดียว

ย่าน Shopping

Berliner Mauer กับซากกำแพงที่เหลืออยู่

ตรงกลางๆนี้ ยังแอบมีซากของกำแพงด้วยหลายบล็อคอยู่เหมือนกัน มีคนบอกว่า มาถึงที่นี่แล้ว ให้เอาหมากฝรั่งแปะเอาไว้ที่กำแพงนี้ เพื่อบอกว่า “ฉันมาถึงแล้วนะ” แต่อั๋นว่ามันน่าอี๋ไปหน่อย แต่ก็เห็นคนแปะไว้เยอะมากเหมือนกัน ฝรั่งนี้บางทีก็ประหลาดนะ

อี๋ๆๆ

45893_152852951396997_1053089_n-2

นอกจากนี้ ระหว่างที่เดินในเมืองและย่านช๊อปปิ้งแล้ว อั๋นยังได้ไปพิพิธภัณฑ์ช็อคโกแลต ณ แบร์ลินมาอีกด้วย แบบ เค้ามีช็อคโกแลตทำเป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในแบร์ลิน และมีช็อคโกแลตมากมายหลายหลากขายด้วยแหล่ะ เข้าฟรีนะ (ไม่เหมือนที่โคโลนญ์ คิดว่าจะไปแต่ก็ยังไม่ได้ไปเลย) อั๋นก็ซื้อช็อคโกแลตจากที่นั้นกลับไปฝากคนที่บ้านเหมือนกัน ตอนนี้ยังเก็บกล่องเอาไว้อยู่เลย

บรานเดนบวร์ก จากช็อคโกแลต และหมีคนุด

รัฐสภา จากช็อคโกแลต

หลักๆที่เที่ยวในแบร์ลินที่เค้าเที่ยวกันก็ประมาณนี้แหล่ะ บล็อคหน้า อั๋นจะเล่าถึงประสบการณ์เปิดซิงเยอรมัน อิอิ

และรูปปิดท้ายบล็อคนี้ คือรูปโปรไฟล์อั๋นเมื่อสองปีที่แล้วนั้นเอง!!!

Berlin ณ เมืองหลวง (Berlin part 1)

กลับมาอีกแล้วสำหรับทริปท่องเที่ยว งวดนี้จะย้อนไปไกลหน่อยนะ คือเรื่องมันเกิดเมื่อสามปีที่แล้วแล้วหล่ะ สมัยที่อั๋นไปเปิดซิง เยอรมันครั้งแรก ซึ่งก็จำไม่ได้ว่าไปกี่วันด้วยซิ – -a คือไปมาสองรอบ ไม่มีเขียนถึงเมืองหลวงก็เหมือนมาไทยแล้วไม่ไปกรุงเทพ (รึเปล่านะ)

เราออกจาก Erlangen กันตั้งแต่เช้าตรู่ จำได้ว่าเพื่อนคนเยอรมันซัดเบียร์ตั้งแต่รถไฟยังไม่มา ใครว่าคนไทยมาช้า นี้ฝรั่งเค้าก็มาช้ากันหมด คนนัดเค้าไม่ยอมบอกเวลาจริงที่รถไฟออก แต่จำได้ว่า เค้าบอกก่อนเวลาออกเป็นชั่วโมงเลยเหมือนกัน แล้วพวกเราก็นั่ง ICE กันออกไป ตรงจาก Erlangen ไป Berlin เลย แจ่มมาก เค้าบอกว่า จริงๆ ICE ไม่จอดเมืองเล็กๆแบบนี้นะ แต่พอดีว่า คนต้องการเดินทางทางนี้เยอะขึ้นเพราะเป็นทั้งเมืองมหาวิทยาลัย และเป็นที่ตั้งของบริษัทใหญ่ยักษ์ของเยอรมัน (Siemens) คนเลยเดินทางจากที่นี่เยอะ ระหว่างทางเราก็เล่นไพ่ slave กัน รู้สึกดีมากที่เราเล่นเป็น (แหงล่ะ สมัยเรียนนี้ นั่งล้อมวงเล่นไพ่กันไม่หลับไม่นอน) บางคนก็เล่นไม่เป็น คนเยอรมันก็ต้องเป็นคนสอนให้ จนเล่นเป็นกันหมด แล้วก็เล่นกันตลอดทางจนถึงแบร์ลินเลย

แต่เช้าเลยครับ ข้าวเช้ายังไม่ได้กินกันเลย

แต่เช้าเลยครับ ข้าวเช้ายังไม่ได้กินกันเลย

รู้สึกว่าใช้เวลาสามสี่ชั่วโมงเองมั้ง รถไฟความเร็วสูงมาก คือไปตอนเช้า ถึงตอนข้าวเที่ยง ทั้งๆที่ระยะทางพอๆกับกรุงเทพ เชียงใหม่ แต่ไวกว่าเป็นเท่าตัวเลย ไปถึงก็จัดแจงเก็บเสื้อผ้า กระเป๋า เข้าห้องพักแบบ Hostel เอาเข้าจริง นี้เป็นโฮสเทลครั้งแรกๆของอั๋นเลยนะ แบบ นอนรวมกันแปดคน ใช้ห้องน้ำรวมแบบไม่มีประตู มีแต่ม่าน กั้นแต่ละห้อง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ เพราะเอาเข้าจริง ห้องพักนี้ เอาไว้เพื่อนอนอย่างเดียวจริงๆ

ถึงแบร์ลินแล้ว เย้

ขอคร่าวๆก็แล้วกันนะ เพราะอั๋นจำ sequence ไม่ได้ว่าวันไหนเริ่มก่อนหลัง เอาเป็นว่า ไปที่ไหนบ้างก็แล้วกัน

หลังจากเอาของไปเก็บแล้ว ทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง นั่งรถไฟฟ้าเยอรมัน ไปเทียวกันแล้ว เย้ๆ จำได้ว่า เราเดินกันรอบๆกำแพงแบร์ลิน ไปเรื่อยๆแล้วไปหาข้าวเย็นกินกัน กำแพงแบร์ลินถูกทำลายไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ซึ่งกำแพงก็ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยเยอรมันแพ้สงครามโลกแล้ว จริงๆอั๋นก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องสร้างหรอกนะ ตอนอั๋นอยู่เยอรมัน จำได้ว่าเค้ามีทริปพาเที่ยวกำแพงที่กั้นระหว่างเยอรมันตะวันออก กับตะวันตกสองทริปเลย ซึ่งแต่ละทริปก็แสดงให้เห็นถึงความหดหู่ของสงครามทุกครั้งเลย ตลอดเส้นทาง กำแพงก็จะถูกขีดเขียนด้วยคำและรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับอิสระภาพ ความโหดร้ายของสงคราม อะไรพวกนี้เจ๋งมากเลยค่ะ

DSC03700

ซึ่งกำแพงพวกนี้ก็จะเรียบแม่น้ำ Spree (ชเปร) ไปเลย

จากตรงนี้จะเห็นทั้งแม่น้ำ และเสาโทรทัศน์แบร์ลินเลย

สะพาน Oberbaumbrücke (โอเบอร์บาวม์)

สะพาน Oberbaumbrücke (โอเบอร์บาวม์) ถ่ายผิดด้านไปหน่อย ถ้าถ่ายอีกด้าน ก็จะเห็นหอคอยโทรทัศน์ด้วย

จากนั้น เราก็เข้าไปในเมือง เพื่อขึ้นหอคอยใกล้ๆเพื่อดู หอคอยโทรทัศน์ที่อเล็กซานเดอร์พลาส บนความสูง 200 เมตรนี้มันเป็นสัญลักษณ์ขอแบร์ลินเลยนะ รู้สึกว่าที่ในรูปมันจะไม่ใช่หอคอยโทรทัศน์มั้ง  เค้าบอกว่า มีร้านอาหารอยู่นะ แต่อั๋นไม่ได้กิน แค่ขึ้นไปถ่ายรูป ดูวิวเฉยๆ จากนั้นก็ลงมาถ่ายรูปเดินเล่นแถวๆศาลากลางแดง ที่มีน้ำพุเนปจูนค่ะ

From the top!

กับน้องหมีคนุดที่มีอยู่ทั่วเมืองเลย

สังเกตดูที่นมนะ ไม่รู้ผ่านมากี่มือแล้ว ฮะๆๆ

สังเกตดูที่นมนะ ไม่รู้ผ่านมากี่มือแล้ว ฮะๆๆ

แล้วเราก็ไปเที่ยวต่อไว้บล็อคหน้าเดี๋ยวอั๋นมาเล่าเรื่องทริปตามรอยหนังของท่านผู้นำนะ รออ่านด้วย

และรูปส่งท้ายประจำบล็อคนี้

Brief von Deutschland. (Meinen Kuchen)

Meinen Kuchen (my cake)
Guten tag!
I just read the blog about cooking from my team manager, that was really good and seem so delicious. Do you believe, i have tried to bake by myself once while i was in German. There was lots of good cake there, one of my favorite was Lemon cake. Then I tried to bake by myself.
nah!? forgot about the beer, I don’t know why it was in my kitchen (for real!!!!)
Und dan, I baked it by following the instruction (in German) and now I can’t remember what was in my cake. -*-

Yeah, finally I got……..

something like…… donut? no,,,,, it’s something smell like lemon but it’s uneatable…..

You know what’s my roommate said, she said “Ann if you don’t like it, you can throw it away….” Thanks, Nuria T^T that’s help a lot -*-

Anyway I’m not give up. After that I tried again from that ingredient, the taste was not good but it eatable, and it was good with my supervisor’s jam…. 😀

pancake(?)

Erlangen jam

Thanks Mr.Hönig, you are sweet as honey. Mein Chef ist sehr genial!! (Honig is honey in German, so Hönig is some one who do something with bees (?) – My supervisor told me that his father has a bee farm for making honey,,,,, woooowww, that’s why you are so sweet XD )

So if you think you cook bad, I’m the real bad.
FAIL
Auf Wiedersehen,
Aun Patama

Brief von Deutschland. (Kulturschock)

Brief von Deutschland. (Kulturschock)
(Kulturschock – Culture shock)

Hi! While I was in Germany, there are many things that I have to get used to such as food, languages, transportation and including culture.

First, greeting, actually, it’s not my first time for foreign country but I still shock for greeting things. Yeah, I’m from Thailand, we just do Wai(ไหว้) and say sawaddee(สวัสดี) for greeting. We don’t shaking hands, hugging or kissing that’s why i always shock (but not much as the first time). Some of my friends know that I always surprise for foreign greeting, then, they tried to freaking me, hugging, lifting,,,,, anyway, if you want to freak me just hug me is freak enough. And again, somebody they don’t know, anyway I don’t mind but i just fell a little bit panic. Yeah, actually I think now i already get used to hug.  (but not kissing or lifting, please) In my home town, I just do something like sniff kiss with my family (and with my close friend) that is the most thing i did. Sometime I just wonder, why guy do hugging with girl, why don’t guy and guy. Just wonder. (’cause I’m girl, you know)

Then everybody know that if you were in Germany, you have to drink beer. Honestly, I never use alcohol before. (Nah, Just a little bit not even more than a gulp of 5% alcohol.) One reason is I was in Student Buddhist Club so it’s immoral to drink alcohol. But just only a week, I had drink like 3 or more glass of beer (Oh my god!) I don’t want my parents to know that but Hey! mom and dad, I was in Germany, how can I decline, isn’t it? (hehe) But in Thailand, I can’t even drink a glass of schnapps. It’s not so good for girl to drink here. (Actually, I need just a glass of cocktail, can I?)

While I was there, when I have to stay at the hostel with other it’s so shock. They naked in the room! Oh my god! And everybody with top less. I might say this is my first time for that, kind of shock ha? Not more than that, ….. I can’t tell you in the detail, sorry. When I am here, I just saw girl with underwear, it was very embarrassed. Here, I don’t even wear the armless shirt!

Somebody has notice that I always bow my head when I walk pass someone. I never notice that, it’s automatically. It’s one thing for pay respect for the other. And other thing, they told me that I always avoid to look at the eyes. Yeah! I know it’s rude there to don’t look at the eyes because it’s mean I don’t pay attention to them. But lots of Asian believe that if you look at your pair eyes, it’s rude to them. So I automatically avoid to look at the eyes, sometime I didn’t notice. Fortunately, my friends understand me, they know that is my nature. Actually i know that’s rude and I try to look at my pair eyes but sometime I think, “Oh my god! I look at his eyes for so long, it might be not good.” or “Oh my god! I’m afraid for staring for so long.” I didn’t mean to rude you but I was so afraid to staring, it’s something I try to get used to.

It’s good that lots of people understand asian girl like me. They are so kind especially my roommate she knows our culture and so kind to me. Miss everyone 😀 I know that something I don’t need to get used to. Something Thai is the best for me. (hehe)

Auf Wiedersehen,
Aun Patama Ramchune

Brief von Deutschland. (ersten Eindruck)

Brief von Deutsch. (ersten Eindruck, ersten:first, Eindruck:impression)Here
is Erlangen, Germany. After my long journey from France to Germany,
it’s take around 7-8 hours, not so bad for the train. First time here,
the local student from IAESTE Erlangen, Michael, came and pick me up to
the city hall and then went to my place. I have to sign many many paper
about the rule to live here, the deposit, and so on. Michael was very
nice (still nice actually). Then I was sleep all evening because i was
so tired, and you know? I still have something like jet-lag for 2 or 3
weeks, I don’t know why but I feel like sleepy everytime.

My first week at Erlangen was so hard for me. I have to stay here 2
months (and 2 weeks for travel.) At first, I though 2 months is so
short, then only in first week, I can tell that I really want to go
home. My first week at Erlangen was so hard for me. I have to stay
alone, I can’t understand German, I lost the way, my cradit card didn’t
work here, my work place was very far and I have to take an expensive
bus… and so on and so on.

My place was so far from the university but all facilities was
good.(?) I have the router for access the internet but I still can’t use
it because it was locked by password! Then next day I had to go to the
center. I went to Arcaden and buy the lan-cable. Yes, I’m Computer
Engineering now, it was a little thing I can do. But you know, there are
2 kinds of cable and I can’t remember which one was right! Then I just
pick on and it’s work! Thanks god. And then, I just realize that, you
can use both cable for router. (Ok – -“) So it was so goooooood!
Finally, I got the internet access hehe!

I have another problem with my bathroom door. I just went to the
bathroom lock the door, and then! I was lock! I can’t open the door. You
could imagine that I’m alone in the place and I was stuck in the old
bathroom. That was terrible, I nearly to cry,,,, Then I try to break the
door and it won’t help. So I have to unlock the door with my nail and
scissors. Hopefully, it work, but my nail was ripped, oh common, I just
got this nail art before I came here. Anyway, afterthat, if i was alone i
the house, i never lock the door again.

I had roommate within next week, Nuria, she’s from Spain and very
nice. Everything getting better in next few week, now I have friends
here and everyone in my work place was very nice. The work was a little
bit boring but it wasn’t so hard to deal with it. I would say now I love
my job and it not so hard to live here.

Auf Wiedersehen,
Aun Patama Ramchune

Brief von Deutschland. (Paris)

Brief von Deutsch. (Paris)Hi, I’m Patama Ramchune. I’m currently in Erlangen, Germany for taking the training program here.

Before I came to Germany, my first country that i have to stop in EU is France on 25 June 2010. I decided to visit my friends,Eve Pop and Louis, at Paris for 3-4 days and then take the train to Erlangen. The flight from Bangkok was so so so nice. I met such a good flight mate, he’s so nice and help me everything that i need to know. But the only thing that i don’t like is his girlfriend. (Booooo, just kidding) Then I have to wait for the flight to Paris at Abu Dhabi, there was very super dupler high technology, free wifi, free computer. I can stay overnight there actually. By the way, I arrived Paris around 7 o’clock more or less, then called my friends. Everything seem to be nice, unfortunately, the train from there place to the Airport was stop working!!! What?!? Yes, they are strike for something. Ok, so they take the bus instead and we met around 11 o’clock. (Oh! god) This was what i just heard from Thailand that Paris seem to have strike everyweek. Oh! ok, this was what I have to see once in Paris. Then, I have to spend all evening in the bed ‘cuz i was very tired from the plain. There place was very nice, they have there own bathrooom and share kitchen with 2 other guys, not so bad.

Next day, we had city tour in Paris to visit the most popular place you have to see like Eiffel Tower, Champs-Élysées, the gate somewhere, Louvre etc. That was so nice, actually, i’m not the one who love to travel to see the popular place and take a picture to say like “Hey! i’m here”, otherwise if i was with friends is alright. Then we stop at somewhere like the garden around Eiffel tower, that was so nice and relax, we taking a lot of funny picture. After that, everybody was so tired, so we stay in front of computer and do everythink like you do in thailand. (You know, you’re the same, doing this routine.) Then we have a dinner at midnight (more or less). Oh! my god, I never have dinner at midnight since i was graduated! It made me feel like in the uni again. (oh common, it’s just 3 or 4 month) Anyway, Pop and Louis was the good cook, i sware.(Hey! Louis do you need housewife.)

Next, I can’t remember exactly what we were do, but we did something like shopping 🙂 and I had a nice Paris desert. wow, i’ll gain a lot of weight from that one. Then we went home and there was a projector in there room (for the project) and Louis just got the movie “Kick ass” so we stay at Louis room and watch the movie together. It was so cool, he projected the screen on the wall and we all lie down and watch the movie. (nice guys)

Nextday, we got up and went out so late. I could say like CPE time or something. Then I had to buy the ticket to Germany for the next day. I know that it was so late but what should I do? So we went to the train station office and bought the ticket. Unfortunately, it’s no seat to go to Germany. Oh common, then I decided to stay longer of a day and it was good. Then we went to Château de Versailles. (It’s a castle) but we didn’t go inside because it was close. (yes, we went late) anyway, we stay at the garden for a while and made some funny video that someone might seen it already. (but there are more than that…. we are so “Grean”!) After that, Pop Eve and Loius have to finish there report and submit to there professor tomorrow, so they are in hurry and had to work over night, all i can do is just prepare the meal (but most of the meal was from pop, actually). Then I went to bed around 2 or 3 am. And when I woke up in the morning, I was surprised, why Eve’s snore so lound, then I got up and see,,, Oh! goddddd Jezzzz, Loise was sleep on Eve bed!!! what should i do, what should i do? (well, do i need to do something, he was sleeping – -“) Then I stared to turn on my computer and doing the same routine. I don’t know why but the sound of his breath make my mind blow up for sure. So I need to listen to the music to stop thinking about the sound….

Then after they woke up, we went to there school (or University) It didn’t seem like university at all from my view but that was nice. Then we tried to find some French meal, and I have Cruz cruz with big sausage (or something – -“) anyway, i don’t like cruz cruz now. That evening, the internet was down, so we can’t to our routine thing. Then me and Loise went to the music room. Wow! how coooooooool was that place! It was all I need to have all the time. There are a lot of instrument (yeah! except Guitar) and we were there such a long time, I can’t remember how long but that was so coooool. You can see me using the DJ. thing here >> http://www.youtube.com/watch?v=OE5Cae91poU

Then, it’s time to say goodbye guys, see you next time. I have to catch my train From Paris to Stuttgart and Stuttgart to Nuremburg and Nuremburg to Erlangen. Cooool! man I am with 28-kilo-bag here! with 3 connection but it was fine. Not so bad than I expect.(well i didn’t expect for the bad things just in case) And It was nice to see my friends there before my huge journey in Germany.

Auf wiedersehen
Ann Aun Patama

อุปการะเด็กไทยในยุโรป

ไปๆมาๆ เราก็อยู่เยอรมันคนเดียวมาได้ สองอาทิตย์แล้วนะ
คนที่นี่ ใจดีกับอั๋นมาก แต่ถึงยังไง ก็ยังอยากจะกลับบ้านอยู่ดี เหงามากเลย
ตอนทำงานก็ทำไป ไม่ได้ยากมากมายอะไร
แต่ชีวิตประจำวัน มันลำบากมากเลย อะไรๆก็ไม่คุ้น เรื่องดีๆก็มีเยอะแยะ แต่อยากจะเล่าเรื่องแย่ๆเก็บไว้

วันแรกตั้งแต่ออกจากปารีส ก็ต้องลากกระเป๋าหนัก 28 กิโลกรัมไปๆมาๆ
ขึ้นรถไฟไปเมือง Erlangen คนเดียว
รถไฟ สามต่อ กว่าจะถึงที่หมาย แต่ก็ดีมาก
ที่ นศ จาก ที่ Erlangen มารับ แถมหิ้วกระเป๋าให้อีก ซึ้งอ่ะ

วันต่อมา ต้องอยู่ห้องคนเดียว เพราะเมตยังไม่มา
แถมไม่มีอินเตอร์เน็ตเล่นอีก เลยต้อง นอนอย่างเดียว
แต่เค้ามีเราท์เตอร์อยู่ แต่ไม่รู้ว่า ไวเลสอันไหนมันของเราหน่ะซิ ไม่รู้รหัสอีก
รออีกวันก็ออกไปซื้อสายแลน นั่งรถเมล์ไป
ไปก็ไม่เป็น แถมค่ารถแพงอีก เที่ยวละเกือบเจ็ดสิบบาทได้มั้ง (แต่รถเค้าตรงเวลามากมาย)
พอไปถึงร้านขายอุปกรณ์อิเล็กโทรนิค เห็นสายแลน…
ตายละ เราท์เตอร์ มันสายไขว้ หรือสายตรงฟระ ..
นึกถึงตอนเรียนวิชา แลป เน็ตเวิร์คตอนปีสามขึ้นมาทันที
(ไอ เอี้ยยยยยย กรู จำไม่ได้…………..)
คิดนานมาก… ถึอไปถือมา เอาสองสายเลยมั้ยวะ… สายไขว้แมว่ง… (เปลือง)
สองเมตร สี่ยูโร … ชิทมาก (แต่ราคาพอๆกะบ้านเรามั้ง)
กลับมาถึงบ้าน เสียบปุ๊บ ใช้ได้ปั๊บ… เท่ห์ไปเลย นี้ซิ วิศวะคอม
ซักพัก ถามเพื่อน เพื่อนบอก ยากอะไร เราท์เตอร์สายตรงดิวะ
(อ่าว กูสายไขว้ กูก็เล่นได้หนิหว่า….)
อยู่ๆก็เพิ่งนึกได้ว่า อาจารย์เอ็กซ์บอกว่า เราท์เตอร์มันฉลาด สายไหนก็ได้หน่ะ
(จุด จุด จุด ที่กูนึกตั้งนาน เพื่ออะไรฟระ)
เอาเป็นว่าตอนนี้ก็เล่นได้แล้ว เซตเราท์เตอร์ เซตไวเลส เรียบร้อย
สายแลนกู โดนเก็บไว้ตลอดกาลแล้วหล่ะมั้ง…

ต่อมาอีกเรื่อง เรื่องนี้รันทดกว่า
ห้องน้ำที่นี่ ดูเก่าๆนิดๆ แต่ก็ใช้ได้ดี แต่วันนั้น แจคพอตมาก!!!
หลังจากอาบน้ำตามปกติ ปิดประตู ใส่ล็อค
พอจะออกจากห้องน้ำ…. ที่ล็อคแม่ง หมุนฟรีเลย
เฮ้ย!!! กูอยู่บ้านคนเดียว เมตก็ยังไม่มี ทำไงดีวะ เรียกให้ใครมาช่วยดี
เข้าห้องน้ำ คงไม่มีใครพกมือถือหรอกนะ แม่ง ทำไงดีวะ (รนรานมาก)
กูติดอยู่ในห้องน้ำ ออกไม่ได้… แทบจะร้องไห้
จากนั้น ก็พยายามหาอะไรก็ได้มาไขลูกบิด
โชคดีนิดนึง ที่เอากรรไกรเข้าไปในห้องน้ำด้วย (เฮ้ย เอาไปทำไมวะ)
คือกรรไกรเอามาตัดถุงผงซักฟอกตอนซักผ้าหน่ะ
แต่ก็ยังไม่ออก พยายามหมุนเข้าไปนั้นหล่ะ เลยต้องใช้
เล็บกูนี้หล่ะ หมุนเข้าไป อุตสาห์ไว้ จะเอาไว้เล่นกีต้าร์
หมุนแล้วหมุนอีก กว่าจะออก ทั้งแกะ ทั้งกระแทก
เล็บหักเลยอ่า เสียใจ (ตอนนี้ งอกมาใหม่ ก็ยังไม่ได้เล่นกีต้าร์)
ปวดตับมาก จากนั้นเข้าห้องน้ำ อั๋นไม่ล็อคกลอนเลย
ยกเว้นตอนอยู่กะเมต อย่างน้อยก็ยังจะมีคนช่วย ถ้าเกิดติดอะไร

เรื่องต่อไป ก็การเดินทาง
วันแรกที่ต้องไปมหาวิทยาลัยคนเดียว หลงทางค่ะ
เดินไกลมาก ตอนแรกคิดไว้ว่า ซักชั่วโมงคงถึง
เดินไปเดินมา แมว่งงงง กูหลง ทำไงดีๆ
เดินไปเดินมา เจอร้านอาหารไทย ดีค่ะ มีคนช่วยพามาส่งมอ
จริงๆเมืองนี้มันก็ใกล้ๆนะ หลงยังไง ก็ไม่น่าจะไกล

จากนั้นอั๋นก็เลยมีจักรยาน จากคนที่ดูแลที่ทำงาน
แต่จักรยานมันเล็ก แต่สูง ให้ตายเหอะ ปั่นแต่ละที จะล้ม
ไม่มี เอเชียนไซส์เลย ปวดขา ปวดก้น
เลยไปซื้อที่รองเบาะมา ราคาตั้งเก้าเหรียญกว่า…
ปั่นได้อีกวัน ยางหลังแบน (แมว่งเอ้ย)
ลากจักรยานไปสูบลม ไกลมาก พอสูบปุ๊บ… ยางแมว่งรั่ว
อีกวันเลยเอาผ้าเทปปะเอาไว้ สูบอีก แมว่ง มันรั่วเยอะมาก หลายรูเกิน
เอาวะ ซื้อใหม่ละกัน วันแรกไปซื้อ เฮ้ย ลืมวัดไซส์ ใหญ่ขนาดไหนวะ
เอาวะวัดใหม่ ซื้อมาเลย ยี่สิบหกนิ้ว
ซื้อทั้งยางนอก ยางใน ราคารวมกันเกือบสิบยูโรเหมือนกัน
พอเอามาใส่จักรยาน แมว่งเอ้ย ยางนอก แม่งเล็กไปอีก
ตอนแรกไม่รู้ ยัดเข้าไป ยังไงก็ไม่เข้า จนมีคุณพ่อยังหนุ่มเดินมาบอก
เออ มันเล็กไปนะจ๊ะ หนูต้องซื้ออันซักยี่สิบแปดนิ้วมาใส่นะ…
อีกวัน ไปซื้อยางนอกมาใหม่ ยี่สิบแปดนิ้ว ใส่ได้ด้วย
แต่ยางในแมว่ง ใหญ่อีก…… อะไรนักหนาวะ
เลยเอาลมออก (อุตสาห์เอายางในไปสูบแล้ว) จนใส่ได้
พอเอาล้อไปใส่จักรยาน…. แมว่งเอ้ยยยยยย!!!!
ล้อแมว่ง ใหญ่เกินจนปั่นไม่ได้ มันคับ
ตอนนี้กำลังหาทางไข ขยายที่ล็อคล้ออยู่
ถ้ายังไม่ได้ใช้ กูจะซื้อยางใหม่ละ อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าต้องซื้อแบบไหน
สรุป จักรยานฟรีนี้ เสียเงินรวมๆไป ยี่สิบยูโรละ
ถ้าซื้อยางใหม่ แบบที่มันเล็กกว่านี้ ก็จะประมาณ สี่ยูโรกว่าๆ
รวมแล้ว เกือบ ยี่สิบห้ายูโร…. เอาวะ ดีกว่าซื้อใหม่
แต่จริงๆ ให้ร้านซ่อมให้ น่าจะเวิร์คกว่านี้นะเนี้ย
แต่ที่ไม่ให้เค้าซ่อมให้ เพราะว่า กูทำมาถึงขนาดนี้แล้ว
ไม่ยอมเสียเงินฟรี แล้วยกเลิกอะไรง่ายๆหรอกเว้ยยยยยยย
(ถ้าไม่ได้อีก จะซื้อใหม่ละ แมว่ง แต่คุณเมตคนสเปน เพิ่งโดนขโมยจักรยานอีก)
อะไรกันนักกันหนาวะ จักรยาน ทุกขลาภมากขอบอก
ตอนนี้ ไปไหนมาไหน ต้องเดิน บวกกับ แอบรียูสตั๋วรถเมล์ค่ะ

ว่ากันเรื่องการเป็นอยู่และอาหารการกิน ตอนนี้รู้สึกเริ่มอยู่ตัวแล้ว
อาทิตย์แรก เจ็คแล็คอั๋นรุนแรงมาก พอๆกับตอนที่เพิ่งกลับจากอเมริกา
แต่อันนี้ ง่วงตลอดเวลา กลับบ้านมาก็ไม่มีแรงแล้ว ไม่มีแรงทำอะไรเลย
กับข้าวยังไม่ทำกินเลย ดีที่มีขนมปังก้อน กะไส้กรอก
ขนมปังแผ่นซื้อมาไม่ได้กิน เสียคาตู้
ผลจากความเหนื่อยนี้ ส่งผลให้ของเหลือในตู้เย็นเยอะมวาก
ตู้เย็นไม่มีช่องฟรีสนะคะ ซื้อผักแช่แข็งมา เน่าหมดเลย ยังไม่ได้กินเลย
ใส้กรอก ที่ซื้อมากินตอนมื้อแรก ก็ราขึ้น หมูก็เน่า น้ำผลไม้ยังขึ้นราเลย
รู้สึกจะมีของขึ้นราหลายอย่างอยู่ จำไม่ได้ ทิ้งหมดเลย รวมราคาคงไม่ต่ำกว่า ห้ายูโร
ยังดีที่เมืองนี้มีร้านขายของเอเชีย แถมร้านอาหารไทยเยอะดีด้วย
แต่ก็ไม่ได้เข้าไปซักร้านเลย ไม่กล้าเข้าไปคนเดียว ไม่รู้จะพูดภาษาอะไร
วันนั้นซื้อข้าวหอมมะลิกลับบ้าน สองกิโลประมาณ ร้อยยี่สิบค่ะ(แพงมวากกก)
แต่ก็ยังดีกว่าซื้อข้าวจากร้านถูกๆ กินไม่ได้เลย (นิสัย….)
อาหารที่ทำงานก็ไม่อร่อย กินเหลือทุกวัน หลังๆเริ่มรู้ เอากล่องใส่อาหารติดไปด้วย
กินเหลือก็เก็บกลับบ้าน กินแทนข้าวเย็น กินเสร็จนอน ตื่นมาอาบน้ำไปทำงาน..

ชีวิต…… ถ้าคนแถวนี้ไม่ใจดีนะ คงต้องร้องไห้ทุกวันแน่ๆเลย
อยู่เมกา ช่วงแรกร้องไห้ทุกวันเลย แต่อยู่นี้ ร้องไห้อยู่สองที
ตอนติดในห้องน้ำ กับตอนโทรหาแม่ครั้งแรก
แต่ก็แค่น้ำตาซึมเท่านั้นหล่ะ ไม่ได้ร้องอะไรมากมายปานนั้น
แต่อยากกลับบ้านจริงๆนะ ลำบากจริงๆ เหนื่อยมาก
เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้อยู่บ้าน มีทริปเที่ยวตลอด
จริงๆ ได้เที่ยวก็ดีนะ เค้าบอกว่าเอาให้คุ้มไหนๆก็มาแล้ว
แต่มันเหนื่อยมากจริงๆ วันนี้เพิ่งได้ซักผ้า หลังจากไม่ได้ซักมาสองอาทิตย์หน่ะ
เสื้อผ้าจะไม่มีใส่แล้ว ไม่มีแรงซัก กับข้าวก็ไม่มีแรงทำ
แต่ก็ไม่ได้ผอมลงนะ เพราะกินข้าวที่ทำงาน น่าจะอ้วนดีเหมือนกัน
เสร็จงานนอน เสร็จงานนอน บางวันก็ต้องเดินกลับ แต่วันไหนเดิน ก็จะเพิ่มโยเกิร์ตก่อนนอน
คงไม่ได้ผอมแน่ๆเลย ฮ่าๆ แต่รุ้สึกไปเองว่าเอวลดไปนิ้วนึง แล้วก็แก้มตอบไปหน่อยนึง (จริงๆนะ)
ไม่มีรูปบีฟอร์ อาฟเตอร์ ยังไม่ได้ขอรูปจากเพื่อนเลย แต่สามารถเข้าไปดูรูปที่อั๋นถ่ายๆมาได้ที่นี่
http://picasaweb.google.com/neoniny
รูปอาจจะน้อยไปหน่อย ความสวยอาจจะลดไปนิด
แค่ตื่นไปทำงานยังจะไม่มีแรงเลย จะเอาแรงไหนไปแต่งหน้า ใช่มะ Wink

มีแต่คนบอกให้สู้ๆ จริงๆอั๋นก็สู้นะ อยู่ได้สองอาทิตย์ อย่างท้อแท้เลยอ่า
งานก็ทำไม่ค่อยเป็น ภาษาก็คุยกับเค้าไม่ได้
ยอมรับเลยว่า ตั้งแต่เรียนจน จนก่อนมา สกีลภาษาอังกฤษอั๋นลดลงมากกว่า ห้าสิบเปอร์เซนต์
คิดดู สามเดือน ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย ตอนนี้ ภาษาอังกฤษสื่อสารแบบ งูๆ ปลาๆมาก
ถึงจะฟังออก แต่ตอบโต้ทันทีไม่ได้
ถึงเค้าจะคุยภาษาอังกฤษให้เรา แต่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่เราได้ยินทุกวันนะ
ก็เค้าคุยเยอรมันกัน ภาษาอังกฤษก็ใช้เฉพาะตอนคุยกะเรา
แล้วจะเรียกว่าฝึกภาษาได้ยังไงใช่มะคะ
เรียกว่า มาฝึกงาน และหาประสบการณ์อย่างแท้จริงเลย
เอาเว้ย อีกแค่ไม่ถึงสิบอาทิตย์เอง ทำงานอีกแค่เดือนครึ่งเว้ย สู้ๆ

อั๋น
ปล. ช่วงนี้ ทำอะไร รู้สึกว่าจะมีเพลงแบ็คกราวน์ All by myself ของ ซีลิน ลอยขึ้นมาเลย จริงๆนะ

 

First step!!

YEah!!!! I just got Germany Visa 😛

Anyway, for whom that don’t know what da heck I’m gonna do there.
Firstly, I win a scholarship from IAESTE and i’m going to work at Germany for 2 months. My work field is about image processing and speech processing. (Yeah! it’s computer study). I’m gonna take the plain on 23 Juni, around 8.30 pm and please don’t try to sent me off, i’m gonna cry….. (actually, it’s Wednesday and it won’t suitable for you, my friends who got the job.) But it would be nice 🙂
I have plan to visit my friends at Paris on 24-28 June and then take the Euro… something (Eurorail?) to go to Erlengen, Germany. It would be the great time there for both Paris and Erlengen.
Erlengen local staff was very nice, they usually send me the email like where or when are your arrival, local guide book or year plan for exchange student.
Arrrrrr I can’t wait for my huge journey.
good luck everyone
Ann