สิบแหลม ซาวแหลม บ่เต้าแหลมใบข้าว …..
(แหลมอะไรสิบอย่างยี่สิบแบบ ก็ไม่เท่าความแหลมใบข้าว บางคนคงนึกไม่ออก ใบข้าวที่แหลมเปี้ยบ [บางทีอาจการเปรียบเทียบต้องมองให้เหมือนว่าเราเป็นคนในยุคเดียวกับคนโบร่ำ โบราณด้วย])
สิบเหล้า ซาวเหล้า บ่เต้าเหล้าเดือนเกี๋ยง ….
(เหล้าตั้งสิบอย่างยี่สิบยี่ห้ออะไรก็อร่อยสู้เหล้าเดือนเกี๋ยงไม่ได้ [เดือนเกี๋ยง คือเดือนตุลาคม นัยว่าข้าวเดือนนี้จะเป็นข้าวใหม่ เหมาะสำหรับทำสุรายิ่งนัก])
สิบเสียง ซาวเสียง บ่เต้าเสียงแมงว้าง…
(เสียงอะไรสิบเสียง ยี่สิบเสียงก็ไม่เท่าเสียงแมงว้าง [ตอนเป็นเด็กเวลาเดินในป่าเสียงส่วนใหญ่จะเป็นเสียงจักจั่น เรไร ที่ดังแต่ได้ยินได้ไม่ค่อยไกล แมงว้าง ที่ว่านี่คงเป็นแมลงที่ร้องได้ดังมากผู้ที่เดินป่าบ่อย ๆ จะได้ยินเสียงแมงที่ว่านี้ เสียงด้ง ว้าง ว้าง ก้องป่าดง]
สิบช้าง ซาวช้าง บ่เท่าช้างเอราวัณ ….
(ช้างใดๆ ในโลกหล้า ฤ จะเทียบได้กับช้างเอราวัณ[ช้างเอราวัณ ในเรื่องรามายณะ และ ความเชื่อของศาสนาฮินดู กล่าวถึงพระอินทร์มีร่างสีเขียว มีพาหนะเป็นช้าง 3 เชือก เชือกหนึ่งพระศิวะเป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า เอราวัณ เชือกหนึ่งพระพรหมป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า คีรีเมขล์ไตรดายุค และอีกเชือกหนึ่งพระวิษณุเป็นผู้ ประทานให้ชื่อว่า เอกทันต์ ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่ ช้างทั้ง 3 เชือก])
อายุสิบปี๋ อาบน้ำบ่หนาว ….
(คนอายุสิบขวบ จะมีแต่ความสนุกสนาน ไม่รู้ร้อน รู้หนาว บางคนนึกไม่ออกว่าความหนาวทางภาคเหนือเป็นอย่างไร รู้สึกว่าหน้าหนาวนี่ 6-7 องศาเป็นเรื่องปกติคนอาบน้ำต้องอาบแต่หัววัน และบางที่ต้องต้มน้ำอาบด้วย แต่เด็ก น้อยไม่ต้อง อาบด้วยความสนุกสนาน ไม่รู้สึกรู้สา หรอก)
อายุซาวปี แอ่วสาวบ่ก้าย ….
(แอ่ว = เที่ยว , ก้าย = เบื่อ ประเพนีทางภาคเหนืออย่างหนึ่งที่ทุกวันนี้แทบจะหาไม่เจอก็คือประเพนีแอ่วสาว หรือการไปจีบสาวถึงบ้านหญิง คือพอตกกลางคืนชายวัยรุ่นจากต่างหมู่บ้านกัน จะไปแอ่วสาวที่หมู่บ้านไกล้ ๆ ด้วยการเดินหรือปั่นจักรยาน มองเห็นทางได้ด้วยไต้ส่องไฟ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกลางวันอย่างไร ตกกลางคืนก็ต้องไปแอ่วสาวให้ได้ พอไปถึงบ้านหญิงที่ตนหมายตาก็จะขึ้นไปทักทายพูดคุยหยอกล้อ บางทีมีการว่ากลอนด้วยนะ หากว่าพ่อแม่ผู้หญิงยังไม่รู้จักก็จะนั่งอยู่ด้วย พูดคุยกันไปโดยอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ตลอด บางที่พ่อแม่ผู้หญิงชอบว่าที่ลูกเขย ก็อาจจะเปิดโอกาสให้อยู่กันสองคนแต่ว่าแอบฟังอยู่ในห้อง ดังนั้นการแอ่วสาว บ่ ก้าย ก็คือ ลำบากยังไง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหรือรู้สึกถึงความยาก)
สามสิบปี บ่หน่ายสงสาร ….
(พออายุสามสิบปี ความเจนในโลกก็จะเพิ่มพูน อยากกินอยากเที่ยว คนสมัยแต่ก่อนก็ดำรงชีวิตด้วยความไกล้ชิดธรรมชาติ การล่าสัตว์ การไปนอนค้างตามป่าเขา ทำให้เพลิดเพลิน การมีครอบครัว การเลี้ยงดูลูกน้อย ที่อยู่ในวัยกำลังกิน นอนที่เป็นผลิตผลจาก แอ่วสาวบ่ก้าย)
สี่สิบปี ยะก๋านเหมือนฟ้าผ่า ….
(สีสิบขวบ วัยทำงาน เหมือนฝรั่งว่า อายุเริ่มต้นตอนสี่สิบ ที่ต้องทำงานเหมือนฟ้าผ่า คือการทำไร่นาไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเพื่อครอบครัวและคนกินมากใช้มากต้องรีบทำ งานให้เร็วเพื่อให้พออยู่พอกิน)
อายุห้าสิบปี สาวด่าบ่เจ็บใจ ….
(ห้าสิบขวบ ใจเย็นถึงขนาดผู้หญิงด่าไม่เจ็บใจ สุขุม รอบคอบ แต่ในใจนั้นยังไงก็ไม่รู้นะ เริ่มเป็นประเภทป๋า กุ้มกลิ่มกับสาว)
หกสิบปี ไอเหมือนฟานโขก …..
(หกสิบขวบ เริ่มมีโรคร้ายรุมเร้า ไอเหมือนฟานโขก น่าจะเกียวกับว่า ตัวฟานคืออีเก้ง เวลามันโขก หรือร้องเรียกกันในป่าจะดังไปสามบ้าน แปดบ้าน ดังโค้ง โค้ง)
เจ็ดสิบปี บ่โหกเต๋มตัว ….
(เจ็ดสิบขวบ ก็เริ่มมีอาการแล้ว บ่โหก เป็นเม็ด – ตุ่ม – ฯลฯ ที่คนแก่มีกัน ที่เหมือนกับผิวหนังตกกระแห้งเหี่ยว มะโหก : ฝีหรือริดสีดวง)
แปดสิบปี ใค่หัวเหมือนไห้ …
(แปดสิบขวบแล้ว แก่ขนาดแม้ว่าใค่หัว : หัวเราะ ยังเหมือนเหมือนร้องไห้ เห็นได้เวลาปู่เย็นหัวเราะ)
อายุเก้าสิบปี ไข้ก่อต๋าย บ่ไข้ก่อต๋าย …
(อายุปูนนี้ จะเจ็บไข้หรือไม่เจ็บไข้ ก็ใกล้จะลงโลงแล้ว)
จะเอาอันใด ไปบ่ได้สักอย่าง …
(สุดท้ายแล้วก็เอาอะไรติดตัวไปได้บ้างเล่า)
บ่สว่ะ บ่วาง บ่หายหม่นเศร้า …
(หากไม่ปล่อยวาง ก็จะมีแต่ความทุกข์และความโศกเศร้ารุมเร้า)
กำบ่เก่า เล่าไว้มาเมิน … เลยวาง …
(คนโบราณเค้าเล่ามาอย่างนี้ตั้งนมนานแล้ว . . . ก็เลยต้องปลงอนิจจัง ปล่อยวาง)
credit: http://www.zone-it.com/stocks/data/14/148808.html